อาการของมะเร็งปากมดลูกมีดังนี้
ก. ในระยะเริ่มแรกหรือในระยะก่อนเป็นมะเร็ง ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการเลย แต่ตรวจพบจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (แนะนำอ่านรายละเอียดในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง วิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่)
ข. เมื่อโรคเริ่มเป็นมาก อาการที่พบบ่อย ก็คือ
การมีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด โดยอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยช่วงระหว่างรอบเดือน ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดหลังจากพ้นวัยหมดประจำเดือนถาวรไปแล้ว หรือ มีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์(เดิมไม่เคยมี)
นอกจากนั้นผู้ป่วยบางรายอาจมีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น และ/หรือมีเลือดปนออกมาด้วยรวมไปถึงบางรายอาจมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ค. แต่ถ้าหากโรคมะเร็งลุกลามไปมากขึ้นหรือลุกลามไปอวัยวะอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง อาจทำให้มีอาการ
ปวดหลัง หรือปวดก้นกบ หรือปวดหลังร้าวลงขาหากโรคไปกดทับเส้นประสาท
อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด หากโรคลุกลามเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ หรือเข้าลำไส้ใหญ่
อาจขาบวมหากโรคลุกลามไปกดทับท่อน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน หรือทำให้ท่อน้ำเหลืองเหล่านั้นอุดตัน
และอาจมีปัสสาวะผิดปกติ มีอาการของไตวายเฉียบพลันหากโรคลุกลามไปกดทับท่อไต (ท่อไตอยู่ติดกับปากมดลูก)
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น แพทย์จะทำการตรวจทางช่องคลอด/การตรวจภายใน พร้อมตรวจ คลำหน้าท้อง และตรวจทางทวารหนัก เพื่อจะได้เห็นปากมดลูกอย่างชัดเจนรวมไปถึงคลำการลุกลามของโรคในอวัยวะข้างเคียง (คลำได้ทางทวารหนัก) หากพบก้อนเนื้อ และ/หรือ แผล แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
หรือในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่พบก้อนเนื้อ หรือแผลชัดเจน แต่จากการตรวจแป๊บสเมียร์ สงสัยความผิดปกติ แพทย์นรีเวชอาจทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยกล้องขยายที่เรียกว่า คอลโปสโคป (Colposcope) และพิจารณาตัดชิ้นเนื้อในส่วนที่ผิดปกติ เพื่อส่งตรวจทางพยาธิเพิ่มเติมต่อไป
นอกจากนั้นยังมีการตรวจอื่นๆที่อาจช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกได้ เช่น การขูดมดลูก การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การผ่าตัดปากมดลูก/การตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวย หรือตามแต่แพทย์นรีเวชจะเห็นว่าเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะ 0 มะเร็งระยะ0 หรือระยะเริ่มแรกก่อนเป็นมะเร็ง คือ ระยะที่เซลล์ของปากมดลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง สามารถตรวจพบได้จากการตรวจแป๊บสเมียร์ ยังไม่สามารถพบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายได้
ระยะที่ 1 คือ ระยะที่มีเซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะบริเวณปากมดลูกเท่านั้น
ระยะที่ 2 คือ ระยะที่มะเร็งลุกลามออกจากปากมดลูกไปบริเวณช่องคลอดส่วนบนหรือบริเวณอุ้งเชิงกรานแต่ยังไม่ลุกลามถึงผนังอุ้งเชิงกราน
ระยะที่ 3 คือ ระยะที่มะเร็งลุกลามไปจนติดผนังอุ้งเชิงกราน, หรือ ก้อนมะเร็งมีการกดทับท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงจนไตด้านนั้นไม่ทำงาน(อาจทั้งสองไต), หรือลุกลามลงถึงช่องคลอดส่วนล่าง
ระยะที่ 4 คือ ระยะที่มะเร็งลุกลามเข้าสู่อวัยวะข้างเคียง คือ กระเพาะปัสสาวะ และ/หรือ ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก หรือมะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง และ/หรือ ต่อมน้ำเหลืองอยู่ไกลปากมดลูก เช่น ในช่องท้อง
การตรวจคัดกรองโดยการตรวจทางเซลล์วิทยาของปากมดลูก
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจทางเซลล์วิทยาทั้งแบบ conventional
Papanicolaou smear และ liquid-based cytology ถือเป็นวิธีมาตรฐานทั้ง 2 วิธีการตรวจ liquid-based cytology มีข้อดีคือ สามารถช่วยแก้ปัญหาการเก็บตัวอย่างที่ไม่เพียงพอ ลดอัตราการเกิดผลลบลวง และระยะ เวลาที่ใช้ในการแปลผลของนักเซลล์วิทยาได้อย่างมีนัยสำคัญ
การรายงานผลการตรวจทางเซลล์วิทยา
การรายงานผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจทางเซลล์วิทยา แนะนำให้ใช้ The 2014 Bethesda System (TBS 2014)(14) เพื่อให้การรายงานผลเป็นมาตรฐานเดียวกันและสื่อความหมายได้ชัดเจนมากขึ้น
คำแนะนำในการตรวจซ้ำในกรณีที่ไม่พบ epithelial cell abnormalities
1. ในกรณีที่ผลการตรวจทางเซลล์วิทยาไม่พบเซลล์ผิดปกติ: negative for intraepithelial lesion or malignancy (NILM) ให้ทำการตรวจซ้ำดังนี้(15) (แผนภูมิที่ 1)
1.1 ถ้าเป็น satisfactory for evaluation และมีเซลล์จาก endocervical / transformation zone ให้นัดตรวจคัดกรองตามที่แนะนำ
1.2 ถ้าเป็น satisfactory for evaluation แต่ไม่มีเซลล์จาก endocervical / transformation zone แนะนำให้ทำการตรวจซ้ำภายใน 1 ปี
การตรวจ HPV testing ร่วมกับการตรวจทางเซลล์วิทยา (co-testing)
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจ HPV DNA testing ควบคู่ไปกับการตรวจ ทางเซลล์วิทยาซึ่งเรียกว่า “co-testing” มีความไว (sensitivity) ในการตรวจพบรอยโรคก่อนมะเร็งสูงมากถึง ร้อยละ 99 และมีคุณค่าในการทำนายผลลบ (negative predictive value, NPV) สูงมากถึงเกือบร้อยละ 100(13,19-22) การตรวจหาเชื้อ HPV ในปัจจุบันมีหลายวิธีโดยถ้าตรวจพบเชื้อ HPV แล้ว จะตรวจระบุ สายพันธุ์ของเชื้อ HPV ให้ด้วยเลย
ขั้นตอนทางการแพทย์สำหรับมะเร็งปากมดลูก
การรักษามะเร็งปากมดลูก
องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า สถานการณ์มะเร็งปากมดลูกจากทั่วโลกพบมากเป็นอันดับที่ 4 ของมะเร็งที่พบได้บ่อยและเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบมากเป็นอันดับที่ 4 ของผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็ง ส่วนในประเทศไทยนั้นมะเร็งปากมดลูกจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของมะเร็งที่พบบ่อย รายงานในปี พ.ศ.2551 มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ 9,999 ราย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมะเร็งปากมดลูก การรักษามะเร็งปากมดลูกจึงมีความสำคัญเป็นเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีการรักษาแบบบูรณาการบาดแผลเล็กทั้ง 18 แบบของรพ. หลีกเลี่ยงการรักษาด้วยการผ่าตัดและรักษามดลูกให้ยังคงสภาพไว้ดั่งเดิม ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งและเพิ่มประสิทธิภาพในการมีชีวิตอยู่
ความเจ็บปวดจากเทคนิคการรักษามะเร็งปากมดลูกในแบบเก่า
การผ่าตัด : บาดแผลจากการผ่าตัดมีขนาดใหญ่ บริเวณที่ผ่าตัดจะประกอบไปด้วย มดลูก รังไข่และท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้าง ช่องคลอดส่วนบนหรือเนื้อเยื่อข้างมดลูกร่วมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณกระดูกเชิงกราน ซึ่งง่ายต่อการสูญเสียภาวะเจริญพันธุ์และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากในขณะทำการผ่าตัดเกิดมีเลือดออก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานหลังผ่าตัด ติดเชื้อไวรัสLymphocystis disease virus การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและช่องคลอด
การใช้ยาเคมีบำบัด : การฉายรังสีถือเป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกที่สำคัญอีกวิธีหนึ่ง แต่ร่างกายของผู้ที่ฉายรังสีอาจเกิดผลกระทบจากการรักษาได้ เช่นโรคลำไส้อักเสบจากรังสีและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นต้น ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีบำบัดมีค่อนข้างมาก อาการที่มักจะเกิดขึ้นได้ง่ายคือ อาเจียน ผมร่วง ภูมิต้านทานต่ำเป็นต้น
เทคนิคแบบเฉพาะจุด : บาดแผลในการรักษามีขนาด 1 -2 mm.ผลข้างเคียงต่ำ ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว ใช้ยาต้านมะเร็งเข้าไปจู่โจมก้อนมะเร็งโดยตรง ความเข้มข้นของยามีมากกว่าการให้ยาเคมีบำบัดทางสายน้ำเกลือสูงถึง 2-8เท่า เทคนิคการรักษามะเร็งปากมดลูกนี้จะเน้น”ฆ่าและปล่อยเซลล์มะเร็งให้หิวตาย”ซึ่งเป็นการทำงานที่ได้รับประสิทธิภาพทั้ง 2 ทาง
เทคนิคแบบบูรณาการแพทย์แผนจีนและตะวันตก :โดยการกำจัดอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำด้วยยุทธวิธีการรักษาและการทำลายเซลล์มะเร็งผ่านเทคนิคการผ่าตัดแบบบาดแผลเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่มีต่อร่างกายของผู้ป่วย ในขณะเดียวกันยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายและช่วยในการต่อต้านมะเร็ง เพิ่มศักยภาพในการสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายและช่วยยับยั้งการพัฒนาของก้อนมะเร็งอีกด้วย
ด้วยเทคโนโลยีการรักษาแบบบาดแผลเล็กที่มีการนำมาใช้อย่างกว้างขวาง การรักษามะเร็งปากมดลูกจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การผ่าตัดแบบดั้งเดิมและการรักษาด้วยเคมีบำบัดเท่านั้น แต่การรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งของรพ มีการวินิจฉัยและแนวทางการรักษาโรคอย่างแม้นยำรอบครอบ โดยพิจารณาจากอาการ สภาพร่างกายของผู้ป่วยเพื่อให้เหมาะสมกับการรักษาและเพื่อให้ได้ผลลัพธิ์ที่ดีต่อผู้ป่วย
การดูแลผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก อย่างถูกวิธี ดีต่อผู้ป่วย
เมื่อคนใกล้ชิดตรวจพบ โรคมะเร็งปากมดลูก และคุณจำเป็นต้องดูแลพวกเขา จำเป็นที่จะต้องดูแลตั้งแต่เรื่องพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารที่รับประทานในแต่ละวัน การนัดหมายกับคุณหมอ การเข้ารับการตรวจและการรักษา หรือแม้กระทั่งการดูแลในเรื่องอื่น ๆ รวมถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกด้วย การดูแลผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก อย่างถูกต้อง ถือเป็นเรื่องที่ดี มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูร่างกายและสภาพจิตใจได้ดีขึ้น วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยที่เป็น โรคมะเร็งปากมดลูก มาฝากกันค่ะ ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
การดูแลผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ควรทำอย่างไร
การรักษา โรคมะเร็งปากมดลูก อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียง ที่ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาได้ แต่ผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก ในแต่ละคนอาจจะมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและวิธีการรักษา ในช่วงที่ทำการรักษา แน่นอนว่าผู้ป่วยหลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกกลัว กังวลใจ หรือเกิดความเครียด จนไม่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ดีเท่าที่ควร การมีคนคอยดูแล จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ถือเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ และใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลในส่วนนี้ ซึ่งผู้ดูแลจำเป็นที่จะต้องดูแลในหลาย ๆ เรื่อง ดังนี้
การรับประทานอาหาร และน้ำหนักของผู้ป่วย
ผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก ที่เข้าทำการรักษา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการทำเคมีบำบัดหรือการรักษาด้วยการฉายรังสี เป็นรูปแบบการรักษาที่อาจทำให้ผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก บางรายเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การรับรสชาติของอาหารเปลี่ยนไป น้ำหนักเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นผู้ดูแลจึงจำเป็นต้องเลือกอาหารเหมาะสำหรับผู้ป่วย เช่น อาหารที่รับประทานได้ง่าย และมีสารครบถ้วน ตามที่ผู้ป่วยต้องการ เพื่อช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก มีดังนี้
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี
คาร์โบไฮเดรต
ผักและผลไม้
ไขมันดี
โปรตีนลีน
น้ำ
การออกกำลังกาย
อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยบางรายก็เหนื่อยล้า เกินกว่าที่จะมีเรี่ยวแรงในการออกกำลังกาย แต่จริง ๆ แล้วการออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ดี ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กับผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก ได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ช่วยให้มีพลังงาน และที่สำคัญยังช่วยให้ผู้ป่วยได้คลายเครียดด้วย
การดูแลเรื่องสภาพจิตใจผู้ป่วย
เมื่อร่างกายเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเพราะ โรคมะเร็งปากมดลูก หรือโรคใด ๆ ก็ตาม ย่อมทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียด กังวล และทุกข์ใจ ในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นเรื่องยาก ที่ผู้ป่วยจะรู้สึกดีหรือว่ามีความคิดในแง่บวก การที่ผู้ดูแลช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับฟังปัญหาโดยไม่ตัดสิน คอยอยู่เคียงข้างเสมอเมื่อเขาต้องการ หรือคอยปลอบใจในวันที่เขารู้สึกแย่ เพียงเท่าก็ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีได้ สำหรับผู้ป่วยบางคนอาจเกิดภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลในช่วงที่ป่วยได้ หากผู้ป่วยไม่สามารถพูดคุยกับคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดได้ ควรปรึกษาจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
อ้างอิงจากเว็บไซด์ หาหมอ