อาการน่าสงสัยว่าเป็นมะเร็งช่องปากมีอะไรบ้าง?
1. การเปลี่ยนสี : หากภายในช่องปากเปลี่ยนเป็นสีขาว สีน้ำตาลหรือสีดำ หมายความว่าเซลล์ผิวเยื่อเมือกเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเยื่อเมือกภายในช่องปากหยาบขึ้น หนาขึ้นหรือเป็นก้อนแข็ง เกิดฝ้าขาวหรือฝ้าแดงภายในเยื่อเมือกช่องปาก ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งแล้ว
2. บาดแผลไม่หาย : โดยทั่วไปการเกิดแผลในช่องปากจะไม่เกินสองสัปดาห์ หากมีอาการ เช่น รู้สึกแสบร้อน เจ็บปวด เป็นต้น เกินสองสัปดาห์ก็ยังไม่ดีขึ้น ต้องระวังว่าอาจเกิดมะเร็งช่องปากก็เป็นได้
3. มีอาการเจ็บปวดชัดเจน : ระยะแรกไม่เจ็บปวดหรือรู้สึกเสียดสีแบบผิดปกติแค่บางส่วน หลังเกิดแผลจะเจ็บปวดอย่างชัดเจน หากมะเร็งมีการลุกลามไปยังเส้นประสาท ก็จะทำให้บริเวณหูและคอหอยปวด
4. ต่อมน้ำเหลืองบวมโต : โรคมะเร็งช่องปากส่วนใหญ่จะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงบริเวณคอ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมโต
5. สมรรถนะช่องปากเกิดอุปสรรค : มะเร็งอาจจะลุกลามไปยังกล้ามเนื้อบดเคี้ยวและข้อต่อขากรรไกรล่าง ทำให้การอ้าปากและหุบปากถูกจำกัด
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
การตรวจมะเร็งช่องปากด้วยตนเองเ
1. ตรวจบริเวณหน้าและลำคอ : เมื่อตรวจบริเวณลำคอ ต้องพยายามแหงนศีรษะไปข้างหลัง ตรวจดูว่าบริเวณกระดูกขากรรไกรและบริเวณคอมีความผิดปกติหรือไม่ แล้วค่อยใช้มือสองข้างแยกกันสำรวจลำคอทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมทั้งบริเวณกระดูกขากรรไกรล่าง สังเกตดูว่าบริเวณลำคอและกระดูกขากรรไกรล่างรู้สึกแตกต่างกันหรือไม่
2. ตรวจบริเวณริมฝีปาก : เ ใช้สายตาสำรวจด้านนอกริมฝีปากบนล่างก่อน จากนั้นค่อยใช้มือคลำสัมผัส แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดึงเปิดริมฝีปากล่างตรวจสอบด้านใน สุดท้ายตรวจด้านในริมฝีปากบน
3. ตรวจเหงือก : เดึงเปิดริมฝีปากตรวจสอบเหงือก พร้อมกับใช้นิ้วชี้คลำสัมผัส สังเกตดูว่าเหมือนกับที่ตรวจครั้งก่อนหรือไม่
4. ตรวจบริเวณแก้ม : เปิดปากเบาๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้วางบนมุมปากพร้อมกับดึงออกด้านนอก ใช้สายตาสำรวจ ขณะเดียวกันก็ใช้มือคลำสัมผัสบริเวณแก้มทั้งสองข้าง ดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่
5. ตรวจลิ้น : เแลบลิ้นออก ใช้มือรองผ้ากอซจับลิ้น สำรวจและคลำสัมผัสลิ้น จากนั้นดึงลิ้นไปทางซ้ายและขวา ตรวจดูสองข้างของลิ้น
6. ตรวจสอบใต้ลิ้น : เ พยายามยกลิ้นขึ้นด้านบน สำรวจและคลำสัมผัสใต้ลิ้น ตรวจดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่
7. ตรวจสอบบริเวณคอหอยและเพดานด้านบน : เออกเสียง “อา” สำรวจบริเวณคอหอยในที่ที่มีแสงสว่าง จากนั้นแหงนศีรษะไปทางด้านหลังเล็กน้อย สำรวจพร้อมกับคลำสัมผัสบริเวณเพดานด้านบน
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
ระยะของมะเร็งช่องปาก
โรคมะเร็งช่องปากแบ่งออกเป็น 4 ระยะเช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่น ๆ คือ
ระยะที่ 1 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดโตน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 เซนติเมตร
ระยะที่ 2 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 เซนติเมตร แต่ยังมีขนาดไม่เกิน 4 เซนติเมตร
ระยะที่ 3 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 4 เซนติเมตร และ/หรือมีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ 1 ต่อมซึ่งมีขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร และเกิดขึ้นเพียงข้างเดียวของลำคอ
ระยะที่ 4 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีการลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ และ/หรืออวัยวะข้าง และ/หรือมีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ 1 ต่อม แต่มีขนาดโตมากกว่า 3 เซนติเมตร และ/มีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 1 ต่อม และ/หรือมีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอทั้ง 2 ข้าง และ/หรือมีการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย คือ ปอด ตับ และกระดูก
อนึ่ง โรคมะเร็งในช่องปากจะมีการแพร่กระจายได้ 3 ทาง คือ ลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอซึ่งพบได้บ่อย และแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งพบได้บ่อย และมักจะเกิดขึ้นในรายที่มากแล้ว โดยมะเร็งที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้าของช่องปากมักจะเติบโตและแพร่กระจายได้ช้ากว่ามะเร็งที่เกิดขึ้นที่ด้านหลัง เช่น มะเร็งริมฝีปากจะเติบโตได้ช้ากว่ามะเร็งโคนลิ้น
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งช่องปากได้จากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย (โดยเฉพาะในช่องปากที่อาจพบก้อนเนื้อหรือแผลในช่องปาก และการคลำต่อมน้ำเหลืองที่คอ) ส่วนการวินิจฉัยที่แน่นอน คือ การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) ที่ตัดจากรอยโรคที่สงสัยเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อประเมินความรุนแรงหรือระยะของโรค เช่น การตรวจเลือด (เพื่อประเมินสภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วยก่อนการรักษา เช่น ดูว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ ดูการทำงานของไขกระดูก ตับ ไต ดูระดับเกลือแร่), การตรวจปัสสาวะ (เพื่อประเมินสภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วยก่อนการรักษา), การเอกซเรย์ปอด (เพื่อดูความผิดปกติในช่องอก ปอด หัวใจ และดูการแพร่กระจายของโรคไปที่ปอด), การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบริเวณศีรษะและลำคอ (เพื่อประเมินการลุกลามและการแพร่กระจายของโรคไปที่บริเวณอื่น ๆ ในช่องปากและต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือไม่), การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (เพื่อดูว่าโรคแพร่กระจายไปที่ตับหรือไม่), การสแกนกระดูก (เพื่อดูว่าโรคแพร่กระจายไปที่กระดูกหรือไม่) เป็นต้น
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
การรักษามะเร็งช่องปาก
วิธีการรักษามะเร็งช่องปากโดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์มักให้การรักษาด้วยการผ่าตัด หรือการฉายรังสี หรือใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และตำแหน่งของมะเร็ง รวมทั้งระยะของโรค นอกจากนี้อาจมีการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย เช่น การให้ก่อนผ่าตัดหรือการฉายรังสีในกรณีที่มะเร็งมีขนาดใหญ่หรืออยู่ในระยะแพร่กระจาย
การผ่าตัด เป็นการรักษาหลักของโรคมะเร็งช่องปาก มักใช้รักษาโรคในระยะที่ 1-3 โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกและเนื้อเยื่อปกติรอบ ๆ ก้อนเนื้องอกออก และอาจทำการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่คอออกด้วย สำหรับรอยโรคที่มีขนาดเล็ก แพทย์อาจทำการผ่าตัดออกได้โดยไม่ทำให้เกิดการผิดรูปของใบหน้า แต่สำหรับรอยโรคในบางตำแหน่ง เช่น ริมฝีปาก การใช้รังสีรักษาจะให้ผลการรักษาที่ดีเทียบเท่ากับการผ่าตัด แต่จะมีข้อดีกว่าตรงที่ยังช่วยรักษาโครงสร้างและการทำงานปกติไว้ได้ และในบางกรณีเมื่อผ่าตัดรักษาแล้ว อาจต้องผ่าตัดเสริมเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง ภายหลังการผ่าตัดแล้วหากมีข้อบ่งชี้ แพทย์อาจให้การรักษาต่อเนื่องด้วยการใช้รังสีรักษา และ/หรือการให้ยาเคมีบำบัด (ในมะเร็งช่องปากระยะแรกที่ยังไม่พบการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ สามารถใช้วิธีการรักษาโดยการผ่าตัดเพียงวิธีเดียวได้ แต่การรักษาร่วมกับรังสีรักษาจะให้ประสิทธิภาพดีกว่าการใช้เพียงวิธีเดียว)
การใช้รังสีรักษา เป็นการใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่และ/หรือต่อมน้ำเหลืองที่คอ สามารถช่วยรักษาสมรรถนะการเคี้ยว การกลืน และการออกเสียงให้เป็นปกติ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากให้สูงขึ้นได้ ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยระยะกลางและระยะสุดท้าย โดยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ การฉายรังสี และการฝังแร่ (การเลือกวิธีรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของก้อนเนื้องอก และการรักษาที่ได้รับร่วมกัน) ซึ่งแพทย์อาจใช้รังสีรักษาเพียงวิธีเดียว หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือการให้ยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และดุลยพินิจของแพทย์
การให้ยาเคมีบำบัด เป็นการให้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย โดยการรักษาอาจใช้ร่วมกับการผ่าตัดและ/หรือรังสีรักษาเพื่อลดขนาดก้อนที่ใหญ่มากก่อนเริ่มการรักษา หรืออาจให้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวในรายที่มีการแพร่กระจายของโรคเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ แล้ว เช่น ปอด หรือตับ (ด้วยส่วนใหญ่มะเร็งที่เกิดขึ้นในช่องปากเป็นชนิดสะความัสเซลล์ซึ่งจะมีความไวต่อยาเคมีบำบัดค่อนข้างต่ำ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวจึงมีน้อยมาก แพทย์จึงมักนำมาใช้ร่วมกับการผ่าตัดและรังสีรักษาเป็นวิธีเสริมในการรักษามากกว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา)
การให้ยารักษาตรงเป้า ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และยายังมีราคาแพงมากเกินกว่าป่วยทุกคนจะเข้าถึงได้
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปาก
ผู้ป่วยที่มีความลำบากในการอ้าปาก การแปรงฟัน และการขับของเหลวจากต่อม ควรฝึกยืดช่องปาก ทำความสะอาดช่องปากบ่อย ๆ และอาจใช้น้ำว่านหางจระเข้เพื่อช่วยเพิ่มการขับของเหลวจากต่อมไม่ให้ปากแห้ง ส่วนในเรื่องของอาหารนั้น ผู้ป่วยมะเร็งช่องปากสามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด แต่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยแข็งแรงและทนต่อการรักษาได้ดี ส่วนการดูแลตนเองในเรื่องอื่น ๆ จะเหมือนกับโรคมะเร็งอื่น ๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงต่อไปอย่างละเอียดในเรื่อง การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai
ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งช่องปาก
ผลข้างเคียงจากการรักษาในแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไป และผลข้างเคียงอาจพบได้มากขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยหลาย ๆ วิธีร่วมกัน และ/หรือเมื่อผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และมีโรคเรื้อรังประจำตัว
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด เช่น อาการปวด การมีเลือดออกจากแผลผ่าตัด การติดเชื้อ การสูญเสียเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ผ่าตัด การบาดเจ็บจากการผ่าตัดถูกอวัยวะข้างเคียง และภายหลังการผ่าตัดอาจต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อให้แผลหายดี ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย
ผลข้างเคียงจากรังสีรักษา คือ เจ็บปาก เจ็บคอ, ปากแห้ง คอแห้ง (ซึ่งอาจเป็นได้ถาวรหรือค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างช้า ๆ), เสียงแหบ, การรับรสลดลง (มักจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจบการรักษา), เกิดเป็นพังผืดของกล้ามเนื้อบริเวณคอ (อาจป้องกันได้ด้วยการนวดคออย่างถูกวิธีในช่วงแรกหลังจบการรักษา), กรามติดจากการเป็นพังผืดของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการอ้าปาก เคี้ยว และกลืน (อาจป้องกันได้ด้วยการอ้าปากบริเวณบ่อย ๆ หลังจบการรักษา), เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณที่ได้รับรังสี (เช่น มีอาการแดง ลอก เป็นแผล หรือมีสีคล้ำขึ้น), เกิดการติดเชื้อภายในช่องปาก, แผลในช่องปากหายยาก (โดยเฉพาะจากการทำฟันก่อนรับการรักษาด้วยรังสี ผู้ป่วยที่มีปัญเรื่องฟันจึงควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาให้หายเสียก่อน) เป็นต้น
ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เช่น อาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง ไขกระดูกทำงานต่ำลง ทำให้มีภาวะซีด มีเลือดออกง่ายจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้ง่ายจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น
การป้องกันมะเร็งช่องปาก
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งช่องปาก แต่มีข้อแนะนำที่อาจช่วยลดโอกาสต่อการเกิดโรคนี้ได้บ้าง คือ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ดังที่กล่าวไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์จัด (ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งช่องปากจะลดลงอย่างรวดเร็วถ้าเลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ และความเสี่ยงจะเท่ากับผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากเลิกไปแล้วเกิน 10 ปี)
รักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ดี โดยการแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเมื่อตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน (ครั้งละ 3-5 นาที) และควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนแปรงฟันตอนเข้านอน รวมถึงควรบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทันทีและทุกครั้ง
ในรายที่มีฟันเก ฟันบิ่น ขอบฟันคม หรือฟันปลอมหลวม ควรแก้ไขอย่าปล่อยให้ครูดถูกเยื่อบุในช่องปาก ถ้ามีฟันปลอม ควรถอดออกมาล้างให้สะอาดหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง (โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นตะขอ) ส่วนเวลาเข้านอนก็ควรถอดฟันปลอมออกด้วยทุกครั้ง
รับประทานผักใบเขียวและผลไม้สดให้มาก ๆ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี และอีสูง
เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นจึงควรหมั่นตรวจดูช่องปากของตนเองเป็นประจำ (เช่น ในขณะแปรงฟัน) และควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก ๆ 6-12 เดือน หรือบ่อยตามที่ทันตพแพทย์แนะนำ หรือทุกครั้งที่พบความผิดปกติในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง ถ้าพบความผิดปกติของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ ของช่องปาก เช่น ฝ้าขาว ฝ้าแดง หรือเป็นแผลในช่องปากที่รักษาไม่หายใน 2-3 สัปดาห์ หรือคลำได้ก้อนในช่องปากหรือข้างคอ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากพบเป็นมะเร็งช่องปากในระยะเริ่มต้นก็จะสามารถรักษาให้หายได้
อ้างอิงจาก เว็บไซด์ medthai