อาการแสดงของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอะไรบ้าง?
1. โลหิตจาง : อาการหลัก คือ หน้าซีดขาว เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
2. ตัวร้อน : ตัวร้อนเป็นพักๆ หรืออยู่ดีๆ ก็ตัวร้อน อุณหภูมิของร่างกายจะคงอยู่ที่ 37.5 - 40 องศา หรือสูงกว่านี้
3. เลือดออก : อาการเลือดออกอาจเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งโพรงจมูก ช่องปากและเหงือก เป็นต้น จะค่อนข้างพบได้บ่อย
4. ต่อมน้ำเหลือง : ต่อมน้ำเหลืองบวมโตกระจายไปทั่วร่างกาย พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์
5. ตับม้ามบวมโต : ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 50% จะมีอาการตับม้ามบวมโต และพบได้เด่นชัดที่สุดในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์
6. อาการระบบประสาทอักเสบ : เยื่อ arachnoidea เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น จะเกิดการรุกล้ำของเม็ดเลือดขาว ทำให้เกิดอาการความดันในกะโหลกศีรษะสูงและแขนขาเป็นอัมพาต เป็นต้น
7. อาการอื่นๆ : เมื่อเซลล์มะเร็งมีการรุกล้ำเข้าระบบทางเดินหายใจ ระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น จะมีอาการน้ำคั่งในช่องอก การทำงานของระบบย่อยอาหารผิดปกติ มีโปรตีนในปัสสาวะ เป็นต้น
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอะไรบ้าง?
1. การตรวจเลือด : นำเลือดปริมาณเล็กน้อยจากนิ้วมือหรือติ่งหู เพื่อตรวจปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด อีกทั้งจำแนกประเภทเซลล์เม็ดเลือดขาว
2. การตรวจสเมียร์เลือด : การตรวจสเมียร์เลือดสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันของเซลล์ไขกระดูก ซึ่งเซลล์เหล่านี้ก็คือเม็ดเลือดขาวที่ไม่เติบโตเต็มที่
3. การตรวจเจาะชิ้นเนื้อไขกระดูก : เป็นการใช้อุปกรณ์นำเลือดไขกระดูกปริมาณเล็กน้อยจากช่องว่างไขกระดูกมาทำการตรวจ อีกทั้งทำการบันทึกจำนวนและจำแนกประเภทเซลล์ทุกชนิดในไขกระดูกอีกด้วย
ผู้ป่วยโรคนี้มีอยู่ 3 ระยะ คือ
1. ระยะเรื้อรัง (Chronic phase) ส่วน ใหญ่มักจะอยู่ในระยะนี้เมื่อมาพบแพทย์ครั้งแรก เมื่อได้รับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยมักเข้าสู่ระยะที่ โรคสงบ ตับ ม้ามมักจะยุบหมด เม็ดเลือดกลับมาปกติ ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ประมาณ 3-5 ปี ก็จะเข้าสู่อีกระยะหนึ่ง
2. ระยะลุกลาม (Accelerated phase) เมื่อรักษาไปสักระยะหนึ่งผู้ป่วยบางคนเข้าสู่ระยะลุกลาม ทำให้เริ่มไม่ได้ผลจากการรักษา เริ่มมีอาการซีด อาจต้องให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด บางรายเกล็ดเลือดต่ำ ถ้าต่ำมากก็อาจทำให้มีจุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกตามไรฟันได้ เม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ม้ามเริ่มโตขึ้นทำให้แน่นท้องมากขึ้น
3. ระยะเฉียบพลัน (Blastic phase) ถือว่าเป็นระยะสุดท้ายของโรค มีอาการคล้ายๆ กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน คือ มีไข้ ซีดมาก เพลีย มีอาการเลือดออกง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัว หรือแขน ขา เลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น ระยะนี้ถือว่าเป็นระยะสุดท้ายของโรค การรักษาส่วนใหญ่มักไม่ได้ผลดี
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemias)
เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมักเกิดกับเด็ก โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือน
2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia)
เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่า เซลล์เม็ดเลือดที่ปกติส่งผลให้ผู้ป่วยมีเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติในร่างกาย เป็นจำนวนมาก โดยปกติแล้วมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ในหลายๆ ช่วงอายุ
ประเภทของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง?
สามารถแบ่งประเภทของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวตามแหล่งที่มาของเซลล์และลักษณะรูปร่างได้ดังต่อไปนี้
1. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอิลอยด์ ( AML) : เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการเพิ่มจำนวนขึ้นแบบผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูก จุดเด่นของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอิลอยด์ คือ การเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วของเซลล์ผิดปกติในไขกระดูก อีกทั้งส่งผลต่อการเกิดเซลล์เม็ดเลือดปกติอีกด้วย
2. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดไมอิลอยด์ ( CML ) : เป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเพิ่มขึ้นของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตในปริมาณมากโดยไม่มีการควบคุม มีจุดเด่นหลักๆ คือ การเพิ่มขึ้นของไขกระดูก เม็ดเลือดขาวในเลือดบริเวณรอบนอกเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งม้ามบวมโต
3. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์ ( ALL ) : เป็นการเติบโตผิดปกติของเซลล์ลิมโฟบลาสท์ ( lymphoblast ) และการแบ่งเซลล์ลิมโฟบลาสท์ผิดปกติหรือการแบ่งตัวมีอุปสรรค ประกอบเป็นเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวจำนวนมากที่ไม่เจริญเติบโตเต็มที่ เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดพัฒนารวดเร็ว
4. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมฟอยด์ ( CLL ) : เป็นเนื้องอกร้ายที่ส่งผลต่อเซลล์ลิมโฟไซท์ ซึ่งจะทำให้อวัยวะน้ำเหลืองเกิดเซลล์ที่เจริญเติบโตไม่เต็มที่จำนวนมาก เซลล์เหล่านี้จะรวมตัวอยู่ในไขกระดูก ควบคุมการสร้างโลหิตปกติของไขกระดูก อีกทั้งสามารถแพร่กระจายไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย
เคมีบำบัด
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีให้เคมีบำบัดชนิดรับประทานยา ที่มีใช้กันแพร่หลาย คือ บูซัลแฟน (Busulfan) และไฮดรอกซียูเรีย (Hydroxyurea) ยาทั้ง 2 ตัว สามารถจะควบคุมให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลงมาอยู่ในระดับปกติได้ ถือว่าอยู่ในระยะโรคสงบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเม็ดเลือดขาวจะปกติโลหิตจางหายไปได้ แต่ตัวฟิลาเดลเฟียโครโมโซมก็ยังมีอยู่ ดังนั้น โรคก็ยังอยู่ไม่ได้หายขาดจากโรค และการให้เคมีบำบัดชนิดต่างๆ ก็ไม่สามารถจะทำให้จำนวนฟิลาเดลเฟียโครโมโซมหายไปได้ เคมีบำบัดเหล่านี้ จึงเป็นเพียงยาที่ควบคุมให้โรคสงบลงเท่านั้น ไม่ได้รักษาให้หายขาดได้
การใช้ยาฉีดอินเทอร์เฟียรอน (interferon)
เป็นยาฉีดที่ราคาค่อนข้างสูง ต้องฉีดทุกวัน และมีผลข้างเคียงมาก เช่น เพลีย เป็นไข้สูง ปวดเมื่อยคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะเป็น 2 สัปดาห์แรกหลังฉีดยา แก้ไขให้ผลข้างเคียงของยาน้อยลงได้ โดยการฉีดตอนเย็นหรือก่อนนอน และรับประทานยาแก้ไข้ แก้ปวด ก่อนฉีดยาประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้อาการต่างๆ บรรเทาลงได้บ้าง หลังจากฉีดลงไป 2 สัปดาห์แล้วอาการข้างเคียงจากยามักจะน้อยลงหรือหายไป
การฉีดยาอินเทอร์เฟียรอนสามารถ ทำให้จำนวนฟิลาเดลเฟียโครโมโซมลดลงได้ ในรายที่ตอบสนองต่อยาดี สามารถทำให้ฟิลาเดลเฟียโครโมโซมหายไป กลับมามีโครโมโซมที่ปกติได้ แต่จำเป็นต้องฉีดยาระยะยาวประมาณ 2-3 ปี ใช้เวลา 6 เดือน ถึง 12 เดือน จึงจะเริ่มเห็นว่าจำนวนฟิลาเดลเฟียโครโมโซมลดลง รายที่ฉีดยาแล้วกลับมามีโครโมโซมที่ปกติได้ มีการพยากรณ์โรคดี มีสิทธิ์หายขาดจากโรคได้ แต่เท่าที่ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยไทย พบว่า อัตราการตอบสนองต่อยาอินเทอร์เฟียรอนต่ำกว่าผู้ป่วยในต่างประเทศมาก
ในรายที่ได้รับยาอินเทอร์เฟียรอนแล้ว ฟิลาเดลเฟียโครโมโซมไม่ลดลง ถ้าให้ยาฉีดเอร่าซี (Ara C) ร่วมด้วย จะมีโอกาสตอบสนองดีขึ้น สามารถทำให้ฟิลาเดลเฟียโครโมโซมลดลงหรือหายไปได้ แต่การใช้ยาฉีดทั้ง 2 ตัว ร่วมกัน จะมีผลข้างเคียงมากขึ้น ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถทนต่อการฉีดยา 2 ตัวร่วมกันได้
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด
ผู้ที่จะทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้ต้องมีอายุไม่มาก และมีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ที่มีเลือดเข้ากันได้ โดยดูจากการตรวจเอช แอล เอ ว่าเข้ากันได้หรือไม่ พี่น้องพ่อแม่เดียวกัน มีโอกาสที่มีเอช แอล เอ เหมือนกัน ร้อยละ 25 คนที่มีอายุน้อย เมื่อทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด จะมีปัญหาแทรกซ้อนน้อยกว่าคนที่อายุมาก นอกจากนี้การทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ภายใน 1 ปีแรก หลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ จะได้ผลดีกว่าเมื่อเกิน 1 ปีไปแล้ว
วิธีดูแลพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอะไรบ้าง?
การดูแลด้านอาหาร
1. ทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและพลังงานสูงให้มาก
2. ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินให้มาก
3. ทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กให้มาก
การดูแลในชีวิตประจำวัน
1. ทานยาตามกำหนด ไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลตามกำหนด
2. ปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
3. ป้องกันการติดเชื้อ ใส่ใจสุขอนามัยภายในบ้าน
4. ควรฆ่าเชื้อภาชนะใส่อาหาร ล้างผลไม้ให้สะอาดและปอกเปลือกออก
เทคนิคทั่วไปซึ่งนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เทคนิคการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยทั่วไปมีดังนี้ เช่น เคมีบำบัด ฉายแสง เทคนิคภูมิคุ้มกันบำบัด การใช้แพทย์แผนจีนกับการักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในบางขั้นตอนการปลูกถ่ายไขกระดูก
การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยรวม
ทีมผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงซึ่งรวบรวมแพทย์ศัลยกรรมผ่าตัด ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉายแสงมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคแบบบาดแผลเล็กและพยาบาลผู้ดูแลแผนกมะเร็ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะร่วมกันกำหนดแผนการโดยประเมินจากสภาพร่างกายและอาการของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อวางแผนการตรวจวินิจฉัย การดูแลและการควบคุมอาการ ยกระดับผลลัพธ์ของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น