สังเกต! ร่างกายมี "ศัตรูตัวฉกาจ" ที่ต้านทานเซลล์มะเร็งในตัวเองอยู่แล้ว
เซลล์มะเร็งมี "ศัตรูตัวฉกาจ" สองประเภท
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็งโดยใช้เซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น ทีเซลล์ (T cells)
"อาวุธ" การรักษาจากภายนอก เช่น เคมีบำบัดและรังสีบำบัด ที่มุ่งทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง
ทั้งสองประเภทนี้ช่วยปกป้องร่างกายจากมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบภูมิคุ้มกัน: หัวใจสำคัญในการต่อสู้กับมะเร็ง
ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งตั้งแต่เกิด หากทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มต้นได้
เมื่อมะเร็งเริ่มเจริญเติบโต ระบบภูมิคุ้มกันยังช่วยยับยั้งการขยายตัว แต่เซลล์มะเร็งสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีได้ การดูแลระบบภูมิคุ้มกันและรักษาวิถีชีวิตที่ดีจะช่วยยับยั้งการเกิดและพัฒนาของมะเร็ง
วิธีการ 'กำจัด' เซลล์มะเร็งภายนอกร่างกาย
วิธีการในการกำจัดเซลล์มะเร็งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก
วิธีการเฉพาะที่ (Local methods)
การผ่าตัด: ตัดเนื้อร้ายของมะเร็งออกได้โดยตรงและเห็นผลทันที
การฉายรังสี: ใช้รังสีทำลายเซลล์มะเร็ง แม้ไม่ชัดเจนเท่าการผ่าตัด แต่มีประสิทธิภาพในการรักษา
วิธีการทั้งร่างกาย (Systemic methods) ใช้ยาในการรักษา เช่น เคมีบำบัด, ยาเป้าหมาย, และการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน วิธีการเหล่านี้มักใช้เมื่อมะเร็งแพร่กระจายและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีเฉพาะที่ได้
5 สิ่งที่ทำเพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง
1. การนอนหลับเพียงพอ พื้นฐานสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน: การนอนหลับเพียงพอ (7-9 ชั่วโมงต่อวัน) ช่วยฟื้นฟูร่างกายและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอนไม่หลับส่งผลให้ระดับโปรตีน C-reactive สูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบที่เพิ่มขึ้นและการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ลดลง ในขณะที่การนอนหลับที่ดีช่วยลดการอักเสบและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันใหม่ ดังนั้น การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพจึงสำคัญมากในการต่อสู้กับโรค
2. ภูมิคุ้มกันที่ดีจากการรับประทานอาหารครบ 4 หมวดหมู่ ดังนี้
ธัญพืชและมันฝรั่ง
ผักและผลไม้
โปรตีน (โปรตีนคุณภาพสูง)
ไขมัน (น้ำมันปรุงอาหารและถั่ว)
แนะนำให้รับประทานอาหารมากกว่า 25 ชนิดในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อความสมดุลทางโภชนาการ และควรให้ความสำคัญกับสัดส่วนของโปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, และไขมันในอาหาร โดยเฉพาะควรรับประทานผักประมาณ 1 กิโลกรัมและผลไม้ประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อวัน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ วิตามินและแร่ธาตุจากผักและผลไม้ที่หลากหลายจะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น
ประเภทผักและผลไม้ที่ดีต่อภูมิคุ้มกัน
ผลไม้สีม่วง/น้ำเงิน เช่น ผลหม่อน, บลูเบอร์รี, อะเมซอนเบอร์รี, องุ่น, มันเทศสีม่วง อุดมไปด้วยสารแอนโธไซยานิน
ผักและผลไม้สีเหลือง/ส้ม เช่น แครอท, มะนาว, ฟักทอง, มะม่วง, ส้ม มีสารเบต้าแคโรทีน, ซีลีเนียม, และลูทีนสูง
ผักและผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ, สตรอว์เบอร์รี, แครนเบอร์รี, เชอร์รี มีสารแอนโธไซยานินและไลโคปีนสูง
ผักและผลไม้สีเขียว เช่น บร็อคโคลี, ผักโขม, ผักสลัด อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์และวิตามิน C
นอกจากนี้ ควรเสริมอาหารที่มีโปรตีนสูงและคุณค่าทางโภชนาการ เช่น นม, ไข่, และเนื้อปลา เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
3. ปฏิบัติตามหลักการ “น้ำสองลิตร”
การเติมน้ำในร่างกายมีความสำคัญมาก การขาดน้ำส่งผลให้เมือกในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารเปลี่ยนแปลง ซึ่งเมือกเหล่านี้มีแอนติบอดีช่วยดักจับเชื้อโรคและป้องกันไม่ให้เข้าสู่เซลล์ ควรดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวันเพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของร่างกายอย่างเหมาะสม
4. อารมณ์ที่ดีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การอยู่ในสภาวะเครียดนานๆ อาจทำให้เกิดอารมณ์ลบ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง หากมีอารมณ์ดีและหัวเราะ จะกระตุ้นการทำงานของเซลล์ T และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น สำหรับผู้ใหญ่และวัยกลางคน ควรจัดสรรเวลาให้เหมาะสม, ฝึกการผ่อนคลาย, และระบายอารมณ์เชิงลบอย่างมีสติ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีและให้กำลังใจตัวเอง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้น
5. การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ 'ยาวิเศษ' สำหรับภูมิคุ้มกัน
การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นและปรับปรุงภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีการทำงานของภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมจะเสริมสร้างร่างกาย แต่ต้องระวังไม่ให้มากเกินไป แนะนำให้เลือกกิจกรรมออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ผ่อนคลาย เช่น การวิ่ง, โยคะ, ไทชิ, และกอล์ฟ โดยผู้ใหญ่ควรทำกิจกรรมแอโรบิกระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับสูง 75–150 นาทีต่อสัปดาห์ การผสมผสานทั้งสองแบบจะช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ